การทำ SEO บนเว็บไซต์ WordPress ไม่ได้มีแค่การใส่คีย์เวิร์ดหรือเขียนบทความให้ดีเท่านั้นครับ แต่การจัดโครงสร้างภายในเว็บ เช่น Category (หมวดหมู่) และ Tag (ป้ายกำกับ) ก็เป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่ออันดับ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งานโดยตรง
Category คืออะไร ทำไมสำคัญ
Category คือหมวดหลักของเนื้อหาบนเว็บไซต์ เช่น บทความรีวิว ข่าวสาร หรือบทความให้ความรู้ ซึ่งช่วยให้ทั้ง Google และผู้ใช้งานเข้าใจว่าเว็บของเราจัดเนื้อหาออกเป็นส่วนไหนบ้าง การตั้ง Category ที่ดีไม่ใช่แค่ตั้งชื่อให้สวยครับ แต่ต้องคิดถึงโครงสร้างและการใช้งานจริง เช่น จะจัดหมวดตามประเภทสินค้า ตามบริการ หรือแยกตามกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้การนำทางง่ายขึ้นและบทความแต่ละชิ้นไม่ถูกซ้ำซ้อนกัน
ถ้าเราวาง Category ให้เป็นระบบ เช่น มีหมวดหลักไม่เกิน 5–7 หมวด และใส่บทความลงอย่างเหมาะสม จะช่วยให้หน้า Category Page มีคุณค่าและดึงดูดทราฟฟิกจาก Google ได้โดยตรงครับ หน้า Category ที่จัดเรียงดี ยังเป็นโอกาสทำ Internal Linking ที่ช่วยส่งพลัง SEO ให้บทความย่อย ๆ ได้ด้วย
Tag คืออะไร มีบทบาทยังไง
Tag หรือป้ายกำกับ เป็นตัวช่วยในการจัดกลุ่มเนื้อหาย่อยที่อยู่ข้าม Category เช่น ในหมวด “รีวิวสินค้า” อาจมี Tag เป็นชื่อแบรนด์ ชื่อรุ่น หรือคุณสมบัติ เช่น “สมาร์ทโฟนกันน้ำ” หรือ “กล้องเทพ” การใช้ Tag อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น เช่น เมื่ออ่านรีวิวมือถือหนึ่งรุ่นแล้วสามารถคลิกไปดูรีวิวมือถือกันน้ำทั้งหมดในเว็บเดียวกันได้
การจัดการ Tag อย่างเป็นระบบยังช่วยให้เกิด Tag Page ที่แข็งแรง ถ้ามีบทความจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับ Tag เดียวกัน โอกาสติดอันดับ Google ก็สูงขึ้นโดยไม่ต้องสร้างเนื้อหาใหม่ แต่ถ้าใส่ Tag แบบกระจัดกระจายหรือซ้ำซ้อน ก็อาจทำให้ Google มองว่าเว็บไม่มีโครงสร้าง และยังทำให้หน้า Tag Page ไม่มีค่าเพราะมีบทความเดียวหรือไม่มีความสัมพันธ์จริงครับ
ปัญหาที่พบบ่อยในการจัดการ Category และ Tag
- สร้าง Category และ Tag เยอะเกินไปจนเว็บดูรกและซับซ้อนเกินจำเป็น
- ใช้ Tag ซ้ำซ้อน หรือใส่แบบไม่คิด เช่น “รีวิวมือถือ” “มือถือรีวิว” “รีวิวสมาร์ทโฟน” ซึ่งความหมายเหมือนกันแต่แยกเป็นหลาย Tag ทำให้จัดการลำบาก
- ไม่ตั้งค่า URL Slug ให้กระชับ เช่น ใช้ภาษาไทยยาว ๆ หรือปล่อยเป็นค่าเริ่มต้นที่อ่านยาก ทำให้ลิงก์ดูไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้และ Search Engine
- ลืมตั้งค่า noindex ให้กับ Tag Page ที่ไม่มีเนื้อหา หรือไม่ต้องการให้ Google จัดอันดับ ทำให้เปลืองค่า Crawl Budget โดยไม่จำเป็น
แนวทางจัดการ Category และ Tag เพื่อ SEO ที่ดี
วางแผน Category ให้ชัดเจนก่อนสร้างเว็บไซต์ หรือถ้าจะปรับปรุงเว็บเก่า ควรรีดีไซน์โครงสร้างใหม่ให้เป็นระบบ ตรวจสอบบทความเก่าแล้วโยงเข้าหา Category ที่เหมาะสม จำกัดจำนวน Tag ไม่ให้เยอะเกินไป และเน้นใช้ซ้ำเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ ตรวจสอบและลบ Tag ที่ไม่มีการใช้งานหรือซ้ำซ้อนเป็นประจำ
ปรับ URL Slug ของ Category และ Tag ให้สั้น ชัด และเป็นภาษาอังกฤษถ้าเหมาะสม เช่น “review” แทน “บทความรีวิว” หรือ “smartphone” แทน “โทรศัพท์มือถือ” เพื่อให้ลิงก์ดูสะอาดและเป็นสากล ใช้ Plugin SEO เช่น Yoast หรือ RankMath เพื่อช่วยจัดการการแสดงผลใน Search Engine ตั้งค่า noindex สำหรับหน้า Tag ที่ไม่สำคัญ และตั้งค่า Canonical ให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำ
ผลลัพธ์ที่ได้ถ้าจัดการ Category และ Tag ดี
- เว็บโหลดเร็วขึ้น เพราะระบบไม่ต้องสร้างหน้าที่ไม่จำเป็น
- ผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น เพิ่มเวลาอยู่บนเว็บ ลด Bounce Rate
- Google มองเห็นโครงสร้างเว็บที่ดี จัดอันดับเนื้อหาได้ง่ายขึ้น ทั้งบทความเดี่ยวและหน้า Category, Tag
- เพิ่มโอกาสให้หน้า Category และ Tag ติดอันดับใน Google โดยไม่ต้องเขียนบทความใหม่เพิ่ม
- ลดปัญหาลิงก์เสียหรือหน้าเพจ Error เพราะการจัดการโครงสร้างที่ดีช่วยลดความซับซ้อนของระบบ
เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับมือใหม่
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นทำเว็บ อย่าลืมทำแผนผัง (Site Map) ของเว็บไว้ก่อน คิดให้รอบคอบว่าจะใช้ Category อะไรบ้าง และ Tag อะไรบ้าง จากนั้นเขียนลงกระดาษหรือใช้เครื่องมือช่วยวาดแผนภาพ จะช่วยให้คุณมองเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหาได้ง่ายขึ้น และลดการแก้ไขซ้ำภายหลังได้มากครับ
การทำ SEO ที่ดีไม่ใช่แค่ใส่คีย์เวิร์ดเยอะ ๆ แต่ต้องเริ่มต้นจากการจัดระบบหลังบ้านให้ดีครับ และ Category กับ Tag คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่หลายคนมองข้าม ถ้าคุณดูแลจุดนี้ได้ดี เว็บของคุณจะพร้อมแข่งขันบน Google อย่างมั่นใจแน่นอนครับ
เขียน/เรียบเรียงโดย: บจก. มูฟออน มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
LINE ID @moveonmarketing
Mobile : 064 989 9797
Email : [email protected]
ต้องการดูรายละเอียดบริการรับทำเว็บไซต์ WordPress ทางนี้ครับ : www.moveonmarketing.com/wordpress
