แม้จะดูคล้ายกัน แต่ GEO Search และ Local SEO ไม่ได้เหมือนกันนะครับ ทั้งสองแนวทางนี้ต่างมีจุดประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง และเหมาะกับธุรกิจที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ให้ถูกจะช่วยให้ธุรกิจคุณเข้าถึงลูกค้าในจุดที่แม่นยำขึ้น และเพิ่มโอกาสการค้นเจอแบบไม่เสียแรงเปล่าครับ อ่านเนื้อหานี้แล้วคุณจะเข้าใจมากขึ้นครับ
GEO Search คืออะไร
GEO หรือ Generative Engine Optimization เป็นแนวทางใหม่ของการทำ SEO ที่ตอบรับกับระบบ AI Search โดยเฉพาะ เช่น Google SGE หรือ Bing Copilot ซึ่งไม่ได้แสดงผลลัพธ์แบบลิสต์ลิงก์อีกต่อไป แต่แสดง “ข้อความตอบกลับ” ที่สรุปเนื้อหามาจากหลายเว็บไซต์
จุดเด่นของ GEO คือเน้นเขียนคอนเทนต์ที่ AI เข้าใจ และนำไปใช้สร้างคำตอบได้ทันที
ตัวอย่างเช่น ถ้าคนค้นหา “คาเฟ่ในเชียงใหม่ที่ถ่ายรูปสวย” แล้ว AI สรุปคำตอบจากบทความของคุณมาแสดงในช่องแนะนำ นั่นคือ GEO ทำงานได้ผลแล้ว
GEO จึงเน้น
- เขียนให้ AI เข้าใจเจตนา
- ครอบคลุมคำถามแบบ Long-tail
- ใช้ภาษาธรรมชาติที่ AI อ่านรู้เรื่อง
- จัดโครงสร้างให้จับใจความง่าย เช่น H2-H3 ชัดเจน มีคำอธิบายกระชับ
เคสตัวอย่าง GEO ร้านกาแฟเชียงใหม่
สมมุติคุณเป็นเจ้าของคาเฟ่ในเชียงใหม่ การเขียนบทความที่เล่าเรื่องราวความเป็นมา จุดเด่นของร้าน เมนูที่ได้รับความนิยม พร้อมคำตอบสำหรับคำถามที่คนอยากรู้ เช่น “ถ่ายรูปตรงไหนของร้านออกมาสวยสุด” หรือ “มุมแสงเช้าควรนั่งโต๊ะไหน” สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ AI เลือกบทความของคุณไปตอบในช่อง AI Summary ได้ก่อนใคร

Local SEO คืออะไร
Local SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏต่อผู้ค้นหาในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น “ร้านข้าวมันไก่ใกล้ฉัน” หรือ “คลินิกทันตกรรมรังสิต” โดยใช้ข้อมูลพิกัด ปักหมุดร้านบน Google Map และทำให้โปรไฟล์ Google Business Profile (หรือ GMB เดิม) สมบูรณ์ที่สุด
จุดเด่นของ Local SEO คือการเน้นพื้นที่แบบเฉพาะจุด และใช้ข้อมูลโลเคชันเป็นหัวใจ
Local SEO จึงเหมาะกับ
- ธุรกิจที่มีหน้าร้าน
- กลุ่มที่ต้องการให้ลูกค้า Walk-in
- การแข่งขันพื้นที่ เช่น “ร้านอาหารลาดพร้าว” หรือ “โรงแรมพัทยา”
ตัวอย่าง Local SEO คลินิกทันตกรรมในรังสิต
หากคุณเปิดคลินิกในย่านรังสิต การทำให้โปรไฟล์ Google Business Profile ครบถ้วน มีรีวิวดี มีภาพอัปเดตสม่ำเสมอ พร้อมข้อมูลเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจน จะทำให้เมื่อมีคนเสิร์ช “ฟันคุด รังสิต” หรือ “คลินิกหมอฟันใกล้ฉัน” ธุรกิจของคุณขึ้นในตำแหน่ง 3-Pack บนแผนที่ทันที

ต่างกันยังไง และใครควรใช้แบบไหน
จุดเปรียบเทียบ | GEO Search | Local SEO |
---|---|---|
เป้าหมาย | ให้ AI ดึงเนื้อหาไปใช้ตอบ | ให้ลูกค้าในพื้นที่ค้นหาเจอ |
การแสดงผล | อยู่ในกล่องคำตอบของ AI Search | อยู่ในแผนที่ Google / Top 3 Pack |
กลุ่มเป้าหมาย | คนที่เสิร์ชด้วยคำถามละเอียด | คนที่เสิร์ชเพื่อหาสถานที่ใกล้ตัว |
วิธีเขียนคอนเทนต์ | เน้นบทความให้ข้อมูลลึก มีหลายมุมมอง | เน้นโปรไฟล์ธุรกิจ รีวิว และพิกัด |
ความเหมาะสม | ธุรกิจออนไลน์ / บทความ / เว็บไม่มีหน้าร้าน | ธุรกิจที่มีสาขา / ร้านค้าจริง / ต้องการทราฟฟิกพื้นที่ |
ควรเลือกทำแบบไหนดีในยุคที่ AI มีบทบาท
- ถ้าคุณมีร้าน มีโลเคชันชัด Local SEO สำคัญมาก เริ่มจากสร้าง Google Business Profile ให้สมบูรณ์
- ถ้าคุณขายออนไลน์ หรือเน้นบทความ / เว็บไซต์ GEO จะช่วยให้คุณได้พื้นที่ใน AI Search ก่อนใคร
- ถ้าคุณมีทั้งสองอย่าง การทำคู่กันจะช่วยให้คุณเก็บได้ทั้งลูกค้าระยะใกล้ และคำค้นหาทั่วประเทศ
ใช้ GEO + Local SEO ยังไงให้เสริมกัน
ยกตัวอย่างเช่น คุณมีร้านอาหารในเชียงใหม่
- ทำ GEO: เขียนบทความเกี่ยวกับเมนูแนะนำ รีวิวโดยอินฟลูเอนเซอร์ การออกแบบร้าน มุมถ่ายรูป
- ทำ Local SEO: ปักหมุดร้านใน Google, อัปเดตโปรไฟล์, จัดการรีวิว และมีเบอร์โทร-เส้นทางชัดเจน
เสริมด้วยกลยุทธ์ยิงโฆษณาแบบพิกัด เช่น LINE Ads Platform หรือ Google Performance Max ก็จะช่วยให้ทั้งสองฝั่งทำงานร่วมกันได้ดีมากขึ้นอีก
ในวันที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยค้นหาหลัก GEO คือเครื่องมือที่ทำให้ “เราไปอยู่ในคำตอบ” ส่วน Local SEO คือเครื่องมือที่ทำให้ “เราไปอยู่ในแผนที่”
และถ้าธุรกิจของคุณสามารถทำให้ทั้งสองจุดมีชื่อคุณอยู่ การแข่งขันก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปปรึกษาเรา
Moveonmarketing.com/seo
เขียน/เรียบเรียงโดย: บจก. มูฟออน มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
LINE ID @moveonmarketing
Mobile : 064 989 9797
Email : [email protected]