Google Ads มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของการเขียนข้อความโฆษณาบนเครือข่าย Search จากเดิมที่เราเคยใช้ Expanded Text Ads (ETA) ซึ่งต้องกำหนด Headline และ Description แบบตายตัว
Google ได้ประกาศหยุดรองรับการสร้าง ETA ใหม่ และผลักดันให้ผู้ลงโฆษณาหันมาใช้ Responsive Search Ads (RSA) เป็นหลักคำถามคื RSA คืออะไร ทำไม Google ถึงเลือกให้เป็นมาตรฐานใหม่? และเราควรปรับตัวยังไงเพื่อให้โฆษณาแบบใหม่นี้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
Responsive Search Ads คืออะไร?
RSA คือโฆษณาประเภทหนึ่งใน Google Ads แบบ Search ที่ให้คุณสามารถ
- เขียนได้ถึง 15 Headline
- เขียนได้ถึง 4 Description
Google จะนำข้อความทั้งหมดมาสลับจัดชุดให้แบบอัตโนมัติ เพื่อแสดงผลกับผู้ใช้ที่แตกต่างกัน โดยใช้ Machine Learning วิเคราะห์ว่า คำพูดไหนเข้ากับคำค้นหาและพฤติกรรมของผู้ใช้แต่ละคนมากที่สุด

ระบบจะไม่แสดงทุกข้อความในครั้งเดียว แต่จะเลือกจัดวางให้ดีที่สุด เช่น:
- Headline 1 + Headline 5 + Headline 11
- Description 2 + Description 4 → เพื่อให้โฆษณามีความเกี่ยวข้องและดึงดูดมากที่สุดในแต่ละสถานการณ์
ทำไม Google ถึงเปลี่ยนมาใช้ RSA?
เหมาะกับพฤติกรรมที่ซับซ้อนขึ้นของผู้ใช้
- คนเสิร์ชด้วยคำที่แตกต่างกันมากขึ้น แต่มีเจตนาเดียวกัน
- RSA ปรับข้อความให้ตรงกับคำค้นแบบเรียลไทม์ได้ดีกว่า ETA ที่คงที่
เปิดโอกาสให้ระบบเรียนรู้และพัฒนาเอง
- ยิ่งระบบได้ข้อมูลมาก ยิ่งเลือกข้อความได้แม่นขึ้นในอนาคต
- ไม่ต้องทดสอบโฆษณาทีละชุดเหมือนในยุค ETA
ปรับให้เข้ากับหลากหลายอุปกรณ์
- RSA แสดงผลได้ดีทั้งบนมือถือ แท็บเล็ต และเดสก์ท็อป
- ระบบจะเลือกชุดข้อความที่พอดีกับหน้าจอโดยอัตโนมัติ
RSA ทำงานยังไง?
- คุณใส่ข้อความหลากหลายเข้าไปในระบบ
- Google จะสลับจัดชุดข้อความอัตโนมัติตามคีย์เวิร์ด คำค้นหา และพฤติกรรมของผู้ใช้งาน
- ระบบจะเรียนรู้และค่อย ๆ เลือกชุดข้อความที่มีประสิทธิภาพที่สุด
- ระบบจะให้คุณดูรายงานผลว่า ข้อความไหนแสดงบ่อย และมีอัตราการคลิกสูงสุด เพื่อใช้พัฒนาต่อในอนาคต

วิธีใช้ RSA ให้ได้ผลดีที่สุด
เขียน Headline และ Description ที่หลากหลาย
- อย่าเขียนซ้ำหรือคล้ายกันเกินไป ให้ระบบมีทางเลือกจริง ๆ
- ใช้คำที่แตกต่างกันทั้งสไตล์ เช่น สื่อสารทางตรง, ถามคำถาม, ใส่โปรโมชั่น ฯลฯ
- หลีกเลี่ยงคำซ้ำเช่น “ราคาถูกที่สุด” ซ้ำหลายบรรทัด เพราะจะลดคะแนน Ad Strength
ปักหมุด (Pin) ให้ข้อความสำคัญอยู่ที่ตำแหน่งที่ต้องการ
- ถ้ามีข้อความที่ต้องการให้ขึ้นเสมอ เช่น ชื่อแบรนด์ หรือ Call to Action
- คุณสามารถปักหมุดให้แสดงเฉพาะในตำแหน่ง Headline 1 หรือ Description 1 ได้
- อย่าปักหมุดมากเกินไป เพราะจะลดความยืดหยุ่นของระบบ
ตรวจสอบ Ad Strength อยู่เสมอ
- Google จะให้คะแนนความแข็งแรงของ RSA
- ระดับคะแนนมีตั้งแต่ Poor, Average, Good ไปจนถึง Excellent
- ยิ่ง Ad Strength อยู่ในระดับ “Excellent” ยิ่งมีโอกาสได้ Impression และคลิกมากขึ้น
ทดสอบหลาย RSA ต่อกลุ่มโฆษณา (Ad Group)
- อย่าใช้ RSA เดียวทั้งแคมเปญ แนะนำให้ลอง 2–3 ชุด แล้วเปรียบเทียบผลลัพธ์
- ใช้ A/B Testing เพื่อดูว่าโทนข้อความแบบไหนสื่อสารได้ดีกว่ากัน
ใช้ร่วมกับ Keyword ที่ตรงกลุ่ม
- อย่าหวังให้ RSA ทำงานได้ดี ถ้าคีย์เวิร์ดใน Ad Group ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
- วางโครงสร้างแคมเปญให้ชัด แล้วให้ RSA ทำงานในพื้นที่ที่แม่นยำที่สุด
จุดเด่นของ RSA เมื่อเทียบกับ ETA
รายการเปรียบเทียบ | Expanded Text Ads | Responsive Search Ads |
ความยืดหยุ่นในการแสดงผล | ต่ำ | สูง |
จำนวนข้อความ | ตายตัว | ปรับเปลี่ยนอัตโนมัติ |
การเรียนรู้จากผู้ใช้ | ไม่มี | มี (AI วิเคราะห์) |
การเขียนครั้งแรก | เร็วกว่า | ใช้เวลาเขียนมากขึ้น |
การปรับปรุงในอนาคต | ต้องทำด้วยมือ | ระบบเรียนรู้เองได้ |
การเข้ากับอุปกรณ์ | ปรับเอง | Responsive อัตโนมัติ |
การวัดผลรายบรรทัด | ไม่มี | มีรายงานประสิทธิภาพข้อความ |
สรุป RSA คือโอกาส ไม่ใช่อุปสรรค
หลายคนกลัวว่า RSA ทำให้เราคุมข้อความไม่ได้เหมือน ETA แต่ในความเป็นจริง ถ้าใช้ให้ถูกวิธี RSA จะช่วยให้โฆษณาของคุณตรงกับเจตนาของผู้เสิร์ชได้มากกว่าเดิม และมีแนวโน้มได้ CTR / Conversion สูงขึ้น
สิ่งสำคัญคือ: เขียนข้อความให้หลากหลาย มีคุณภาพ และเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้ลึกที่สุด ปรับตัวให้เร็ว และให้ระบบได้เรียนรู้จากข้อมูลที่ดี
เพราะในโลกของโฆษณาปี 2025 คนที่ยืดหยุ่นกว่า มักได้เปรียบเสมอ
เขียน/เรียบเรียงโดย: บจก. มูฟออน มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
LINE ID @moveonmarketing
Mobile : 064 989 9797
Email : [email protected]
หากต้องการให้เราดูแลโฆษณาของคุณอย่างมีประสิทธิภาพเชิญทางนี้ครับ
https://www.moveonmarketing.com/ads/google